วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552

Health


อย่างไรจึงจะเรียกได้ว่าเหมียวป่วย

ผู้เลี้ยงแมวที่ยังขาดประสบการณ์ อาจไม่ทราบถึงอาการป่วยของแมวของท่าน เพราะแมวไม่อาจบอกอาการได้เหมือนกับคน จนทำให้อาจรักษาได้ไม่ทันการณ์ หรืออาจสายจนเกินแก้ ดังนั้น หากท่านทราบถึงอาการที่บ่งบอกความเจ็บป่วยของเจ้าเหมียวแล้ว ท่านก็จะสามารถช่วยเหลือชีวิตของพวกมันได้ ซึ่งลักษณะแสดงอาการป่วยนั้นมีดังนี้


1. แมวของท่านเบื่ออาหารไปจนถึงไม่กินเลย แต่หากแมวร่าเริงดี แต่ไม่กินอาหาร อาจเป็นไปได้ว่าไปกินมาจากที่อื่นแล้ว

2. กระสับกระส่าย วุ่นวาย ไม่อยู่ติดที่ ชอบหลบหนีไปซ่อนตัว ถ้าเห็นดังนี้ ควรจับแมวขังไว้ในที่ที่ควบคุมได้ มิฉะนั้น อาจหลบไปนอนป่วยหนักอยู่ในที่ที่ตามไปช่วยไม่ทัน

3. หนังตาที่สาม ที่เป็นเยื่อบางๆสีขาวตรงบริเวณหัวตายื่นออกมา แต่ปกติจะซ่อนตัวอยู่

4. น้ำตาไหลเยิ้ม มีขี้ตาเกรอะกรัง หรือเปลือกตาด้านในบวมแดงจนปลิ้น

5. อาเจียน สำรอกอาหารออกมา บางครั้งอาจมีเลือดออกมาด้วย

6. น้ำลายไหลยืด หรือชุ่มตลอดเวลา

7. ท้องร่วง ตั้งแต่ถ่ายเหลว ไปจนถึงถ่ายเป็นน้ำ บางครั้งอาจมีมูกเลือดปนกลิ่นคาว

8. จาม มีน้ำมูกใสๆไหลออกมา บางรายอาจมีขี้มูกจากสีขาวเป็นสีเขียว หรืออาจมีหนองไหลออกมาจากจมูก บ้างก็เกรอะกรังติดตันเต็มรูจมูก จนแมวหายใจไม่ออก ต้องอ้าปากหายใจ

9. คันและเกาหูบ่อยครั้ง จนรุนแรงถึงกับเป็นแผลที่ใบหูและกกหูด้านนอก ภายในรูหูมีขี้หูสีน้ำตาลจำนวนมาก จนบางครั้งเหมือนเป็นหูน้ำหนวก หากจับจะแสดงอาการเจ็บปวด

10. สั่นหัวไปมาบ่อยครั้ง หรือหัวเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง บางครั้งก็ชอบเดินเป็นวงกลม มักเป็นผลจากการติดเชื้อที่หูส่วนกลาง

11. ปากเหม็น ลมหายใจเหม็น เหมือนมีอะไรเน่าอยู่ภายใน

12. เหงือกตรงรอยต่อกับฟันแดงก่ำ ฟันแตกหัก หรือร้องครางเมื่อเคี้ยวอาหารบางตัว บางครั้งมีอาการอยากกินอาหาร แต่ฟันร่วงเมื่อพยายามขบกัดอาหาร

13. เบ่งตัวโก่ง หรือร้องครวญครางขณะปัสสาวะ

14. ปัสสาวะปนเลือดหรือขุ่นขาว

15. หายใจลำบาก ติดขัด หอบ หายใจเสียงดังแปลกๆ เช่นเสียงหวีดแหลม

16. เหงือกมีสีเปลี่ยนไป กลายเป็นสีซีดจางหรือขาว ซึ่งอาจมาจากโลหิตจาง หรือเป็นสีม่วงคล้ำเพราะขาดออกซิเจน เป็นต้น

17. ช่องท้องขยายใหญ่และห้อยแกว่งคล้ายลูกโป่งใส่น้ำ มักพบในกรณีโรคติดเชื้อไวรัส ทำให้ช่องท้องอักเสบ

18. ขนหยาบ ร่วงง่าย หลุดเป็นวง และคันตามตัว

19. มีตุ่ม ก้อน หรือมีอาการบวมตามที่ต่างๆของร่างกาย เมื่อสัมผัสจะแสดงอาการเจ็บปวด

20. นิสัย พฤติกรรม และอารมณ์เปลี่ยนไปจากปกติ เช่น ดุกว่าเดิม หลีกหนีจากสังคม เป็นต้น21. มีไข้ตัวร้อน อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าเดิม (ปกติ อุณหภูมิแมววัดทางทวารจะอยู่ที่ 101.3 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 38.5 องศาเซลเซียส


Grooming

การแปรงขน

การแปรงขนนั้น ถือเป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เส้นขนและผิวหนังมีสุขภาพดี ขนเป็นเงางามและยังเป็นการขจัดรังแคและเศษขนที่ตายแล้วให้หลุดร่วงออกมาอีกด้วย เพราะขนเหล่านี้มักจะจับตัวเป็นก้อน ทำให้ดูไม่สวยงาม และยังเป็นการช่วยลดภาวะการที่ก้อนขนเข้าไปรวมตัวในกระเพาะอาหารของแมว ที่จะทำให้แมวไม่สบาย จากการเลียขนของตัวเองเข้าไปจำนวนมากอีกด้วย และสำหรับแมวที่มีขนยาว เช่น Persian ก็จำเป็นจะต้องดูแลขนอย่างดีเป็นพิเศษ โดยการแปรงขนให้ทุกๆวันโดยการใช้แปรงทีมีขนหยาบกว่าของแมวขนสั้น ที่สมควรใช้แปรงที่มีขนละเอียด หรือผ้าที่อ่อนนุ่มเช็ดตัวให้

การเลือกซื้อแปรงให้แมวนั้น จำเป็นที่จะต้องเข้ากับลักษณะขนของแมว การแปรงขนจะต้องแปรงไปในทิศทางเดียวกับเส้นขน ไม่ใช่แปรงย้อนทาง ซึ่งจะทำให้ขนหลุดและพันกัน ควรแปรงเบาๆและช้าๆ หากต้องการเสริมความเงางาม อาจใช้ผ้าต่วนหรือผ้าไหมเช็ดเบาๆหลังจากการแปรงขนแล้ว



การตัดเล็บ

สำหรับแมวที่เล่นอยู่ข้างนอกตามธรรมชาตินั้น เราไม่จำเป็นจะต้องตัดเล็บให้มันก็ได้ เพราะเล็บจะถูกเสียดสีตามธรรมชาติจนสั้นไปเอง แต่บางครั้งเราอาจจะจำเป็นต้องตัดเล็บให้แมวของเราบ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะแมวที่เลี้ยงไว้ในบ้านและไม่ได้รับการลับเล็บเป็นประจำ อาจจะทำให้เล็บยื่นยาวออกมา จนอาจจะทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อได้ดังนั้น เราจึงควรจะหัดตัดเล็บให้แก่ลูกแมวตั้งแต่อายุ 12 สัปดาห์ เพื่อให้เกิดการคุ้นเคย โดยสามารถใช้กรรไกรตัดเล็บของคนได้ โดยการตัดจะต้องระวังไม่ให้เข้ามาถึงส่วนเนื้อสีชมพู เพราะจะมีเลือดและเส้นประสาทอยู่ ซึ่งจะทำให้เลือดออกและเจ็บปวดมาก แมวจะเข็ดและไม่ให้ความร่วมมืออีก หากแมวบางตัวเล็บสีเข้มมองเห็นลำบาก ให้ใช้ไฟฉายส่องจะช่วยให้เห็นส่วนเนื้อชัดเจนขึ้น โดยควรกะประมาณไม่ให้ลึกกว่าช่วงโค้งงองุ้มของเล็บ การตัดเล็บควรทำหลังจากอาบน้ำ เพราะเล็บจะนิ่ม และตัดง่ายเป็นพิเศษ

แต่ทางที่ดีแล้ว ไม่ควรจะไปตัดเล็บแมวหรอกค่ะ เพราะเจ้าเหมียวจะไม่ค่อยชอบใจนัก และยังไม่ค่อยถูกกับอุปนิสัยของแมวด้วย และหากมันออกนอกบ้าน มันอาจจะโดนสัตว์อื่นทำร้ายได้ และเจ้าของก็ต้องระวังการโดนแมวทำร้ายขณะตัดเล็บด้วย ฉะนั้น ถ้าไม่จำเป็นอย่าไปตัดเล็บแมวดีกว่าค่ะ



การอาบน้ำแมว

บางคนอาจจะเข้าใจว่าแมวไม่ต้องการการอาบน้ำ เพราะแมวนั้นกลัวน้ำเป็นอย่างยิ่ง แต่ที่จริงแล้ว เราสามารถอาบน้ำให้แมวได้ เพื่อทำความสะอาดน้ำมันจากผิวหนังที่ถูกขับออกมาภายนอก และเมื่อผสมกับฝุ่น จะทำให้เกิดความสกปรกติดที่ผิวหนัง อีกทั้งการอาบน้ำยังช่วยขับไล่ปรสิตและแมลงที่มารบกวนได้อีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการทำให้ขนแมวสวยงามและไม่พันกัน โดยเฉพาะแมวพันธุ์ขนยาว ดังนั้นเราควรอาบน้ำให้เจ้าเหมียวของเรา 1 -2 ครั้ง / เดือน

การฝึกหัดให้แมวอาบน้ำ หากฝึกตั้งแต่เด็กจะง่ายกว่ามาก โดยอาจเริ่มได้ตั้งแต่ลูกแมวอายุได้ 14 อาทิตย์ หรือหากจำเป็นจะหัดก่อนหน้านั้นก็ได้ แต่ควรระวังเรื่องความหนาวเย็น ก่อนลงน้ำควรใช้สำลีอุดหูแมวกันน้ำเข้า หรืออาจใช้ยาป้ายตาชนิดน้ำมันป้ายตาไว้เพื่อป้องกันเศษสบู่หรือแชมพูเข้าตา

อุปกรณ์การอาบน้ำแมวนั้นไม่ได้มีอะไรยุ่งยากนัก ท่านสามารถหาเอาได้จากในครัวเรือน คืออ่างอาบน้ำท่านสามารถใช้อ่างล้างจานก็ได้ ฟองน้ำก้อนใหญ่ๆ ผ้ายางปูพื้นอ่างกันลื่น ฝักบัวในอ่างน้ำ และผ้าขนหนูไว้เช็ดตัว

ขั้นตอนการอาบน้ำ เริ่มจากค่อยๆจุ่มแมวลงไปในน้ำ ด้วยการใช้มือหนึ่งหิ้วหนังหลังคอ อีกมือรวบขาหลังหรือจับสะโพกไว้ แมวจะถูกจับให้หมอบแช่น้ำในอ่าง บางตัวอาจใช้ขาคู่หน้าเกาะขอบอ่างไว้ก็ได้ ในขณะที่จุ่มแมวลงไปในอ่าง ท่านควรจะพูดปลอบประโลมใจเจ้าเหมียวของท่านเพื่อลดความตื่นกลัวด้วย ส่วนน้ำในอ่างควรผสมให้อุ่นพอดี จากนั้นให้ใช้ฟองน้ำจุ่มน้ำแล้วลูบไล้ตามตัวให้ขนเปียกให้ทั่ว ไม่ควรใช้การเปิดน้ำก็อก หรือเอาสายยางฉีดใส่โดยตรง เพราะจะทำให้แมวตื่นกลัว

ขั้นตอนต่อไป คือการฟอกด้วยแชมพูสำหรับแมว หรือแชมพูสำหรับเด็ก ซึ่งเป็นแชมพูที่ไม่ระคายเคืองตา จากนั้นก็ให้ใช้ฟองน้ำชุบน้ำเช็ดใบหน้าและส่วนหัว ตลอดจนใบหูให้สะอาด ไล่น้ำออกจากตัวแมวเบาๆ ก่อนจะเช็ดให้แห้งด้วยผ้าขนหนูอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งควรใช้ผ้าขนหนูคุณภาพดี ซับน้ำได้มาก หากมีเครื่องเป่าผม ก็สามารถใช้ได้ เพื่อให้ขนแห้งเร็วขึ้น แต่ต้องระวังว่าเสียงของเครื่องเป่าผมจะทำให้แมวตกใจ

หากแมวของท่านเป็นแมวที่มีอายุมากแล้ว และไม่เคยหัดอาบน้ำมาก่อน อาจจะไม่ชินและจะดิ้นรน ดังนั้นท่านอาจจะต้องใช้วิธีการบางอย่างเข้าช่วย เช่น จับแมวใส่ถุงผ้าโผล่แต่หัวออกมา ใส่แชมพูลงไปในถุง แล้วจุ่มทั้งถุงลงในอ่าง ส่วนหัวให้เช็ดทำความสะอาดภายหลัง หรืออาจหาที่เกาะยึดให้แมวขณะอาบน้ำ โดยอาจใช้ตะแกรงมุ้งลวด หรือแผ่นไม้ที่มีร่องให้เกาะยึดได้ พร้อมใช้อีกมือหนึ่งขยุ้มหนังคอไว้ เพียงเท่านี้ ท่านก็จะปลอดภัยจากรอยเล็บของเจ้าเหมียวแล้วล่ะค่ะ



การทำความสะอาดหูเจ้าของแมว

ส่วนใหญ่มักจะละเลยการทำความสะอาดหูให้เจ้าเหมียว จนกว่าเจ้าเหมียวของท่านจะมีอาการคันหูหรือมีกลิ่นเหม็น ถึงจะได้เดือดเนื้อร้อนใจกันสักทีหนึ่ง แต่ท่านเจ้าของแมวไม่ควรปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นกับแมวที่รักของท่าน ด้วยการทำความสะอาดหูแมว

ธรรมดาแล้ว ธรรมชาติจะสร้างขี้หูซึ่งเป็นไขมันชนิดหนึ่งออกมาเพื่อใช้เป็นตัวจับและผลักดันสิ่งสกปรกแปลกปลอมให้ออกไปกับขี้หู และยังเป็นตัวปกป้องหูส่วนในอีกด้วย ดังนั้น เราจึงควรช่วยเอาขี้หูที่ปนเปื้อนสิ่งสกปรกเหล่านี้ออกไปอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยการใช้ก้านสำลีพันปลายไม้จุ่มน้ำยาเช็ดหู หรือลิควิดพาราฟินเช็ดเข้าไปในช่องหู ระยะลึกเท่าที่ตามองเห็นเท่านั้น เพราะหากลึกกว่านั้น อาจจะไปกระทบแก้วหูจนเป็นอันตรายได้

นอกจากนี้ เราอาจจะอาศัยการนอนของแมวมาช่วยได้ คือแมวมักจะนอนโดยเอาหางมาม้วนไว้แถบบริเวณหู ดังนั้น หากเราจุ่มยาฆ่าไรไว้ที่ปลายหางแมว จะสามารถกำจัดไรที่หูได้ เพราะยาจะระเหยจากปลายหางเข้าสู่หูขณะแมวนอน

หากปฏิบัติตามนี้ได้รับรองว่าเจ้าเหมียวของท่านจะไม่มีปัญหาเรื่องขี้หูอีกแล้วล่ะค่ะ

Cat Food

โภชนาการเจ้าแมวเหมียว

แมวสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานมากแม้จะอดอาหาร บางครั้งอาจนานเป็นสัปดาห์ โดยแมวยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ แม้น้ำหนักจะลดลงถึงร้อยละ 40 ของน้ำหนักปกติ แต่ถ้าสูญเสียน้ำในร่างกายไปร้อยละ 10 - 14 แมวจะเสียชีวิต แมวจะมีสุขภาพดีหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับอาหารที่ได้รับเป็นสำคัญ แมวก็เหมือนกับคนและสุนัขที่ต้องการอาหารที่มีคุณค่า มีสัดส่วนครบถ้วน ในสัดส่วนที่แตกต่างออกไป การนำหลักโภชนาการของสุนัขมาใช้กับแมวย่อมไม่เกิดผลดีแน่นอนเพราะแมวต้องการโปรตีนมากกว่า และไม่อาจแปลงเบตาแคโรทีนจากพืชให้เป็นวิตามินดีได้เหมือนสุนัข อีกทั้งแมวยังต้องการทอรีน (Taurine) มากกว่าสุนัขอีกด้วย ดังนั้นหากให้อาหารสุนัขแก่แมว อาจทำให้แมวมีภาวะขาดสารอาหารได้การให้อาหารแมวที่ถูกต้องจะต้องให้อาหารที่มีคุณค่าตามสัดส่วน ดังนั้นการเลี้ยงแมวด้วยเศษอาหารที่เหลือจากคนหรือให้เนื้อหรือปลาล้วนๆอย่างเดียว ย่อมไม่เป็นผลดีต่อแมวแน่ เพราะอาจทำให้แมวเจริญเติบโตได้ได้ไม่ดี อาจเป็นโรคกระดูกอ่อน ขนร่วง ไม่กระฉับกระเฉง และเจ็บป่วยได้ง่าย ดังนั้นเรื่องโภชนาการจึงมีความสำคัญกับแมวมาก

สารอาหารหลักของแมว ประกอบด้วย

โปรตีน มีความสำคัญในด้านการเจริญเติบโต สร้างแอนติบอดี สำหรับป้องกันเชื้อโรค ซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ลูกแมวที่กำลังเจริญเติบโตต้องการโปรตีนไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ส่วนแมวโตต้องการไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ถ้าแมวได้รับโปรตีนน้อยกว่าร้อยละ 18 จะทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร

คาร์โบไฮเดรต มีความสำคัญในด้านการเจริญเติบโต การผลิตน้ำนม การทำงาน แมวที่มีกิจกรรมมากย่อมต้องการคาร์โบไฮเดรตมากกว่าแมวที่มีกิจกรรมน้อย

ไขมัน แมวต้องการไขมันสำหรับกำลังงานประมาณร้อยละ 8 ไขมันให้พลังงานมากกว่าคาร์โบไฮเดรต 2 เท่า และไขมันยังมีกรดไขมันที่มีความสำคัญต่อโภชนาการและการเจริญเติบโตของแมว ถ้าแมวขาดกรดไขมัน จะทำให้ผิวหนังแห้งและเติบโตช้า แต่หากมีมากไปจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

วิตามิน มีอยู่หลายชนิด ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและควบคุมการทำงานของส่วนต่างๆ อาหารแต่ละอย่างจะให้วิตามินต่างกัน เช่นวิตามินเอที่ช่วยในการต้านทานโรค มีมากในเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง น้ำมันตับปลา วิตามินบีที่ช่วยบำรุงผิวหนังและการเจริญเติบโตของร่างกายและป้องกันอาการทางประสาท มีมากในไข่แดง นม ตับ เป็นต้น แต่การให้วิตามินมากเกินไป เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น และอาจให้โทษแก่ร่างกายด้วย


โดยทั่วไป แมวมักจะชอบกินอาหารดิบ แต่อาหารทุกอย่างควรจะทำให้สุกเสียก่อน เพื่อป้องกันโรคพยาธิ ปลาควรแกะก้างออกก่อน เพราะก้างอาจจะไปติดตามเหงือกได้ ไม่ควรให้กระดูกแก่แมว การคลุกอาหารต่างๆควรคลุกให้เข้ากันดี เพื่อไม่ให้แมวเลือกกิน อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง คืออาหารที่มันและเค็มจัดจนอาจจะทำให้แมวท้องเสียได้การให้อาหารแมวปกติแล้ว การให้อาหารแมว 2 มื้อจะดีกว่าการให้เพียงมื้อเดียว อาหารแบบชาวบ้านก็คือข้าวร่วนๆคลุกกับเนื้อปลา หรืออาจจะเสริมด้วยการเติมเนื้อ นม ไข่ ลงไปด้วย การให้ปลาเพียงอย่างเดียวอาจจะทำให้แมวเกิดโรคนิ่วได้ จึงควรให้สลับกับเนื้ออย่างอื่น เพื่อป้องกันแมวเบื่ออาหารด้วย ไม่ควรให้แมวกินอิ่มมากเกินไป เพราะจะทำให้กระเพาะทำงานหนัก จานใส่อาหารควรจะสะอาด และควรเตรียมน้ำสะอาดไว้ให้แมวดื่มด้วยเสมอจำนวนอาหารที่ให้แมวนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการของแมวแต่ละตัว น้ำหนัก อายุ สายพันธุ์ และกิจกรรมที่แมวทำ ลูกแมวและแมวตั้งท้องต้องการอาหารมากกว่าแมวทั่วไป แมวที่มีกิจกรรมมาก ย่อมต้องการอาหารมากกว่าแมวที่มีกิจกรรมน้อย และไม่ควรให้อาหารแมวปริมาณมากเกินไป ควรให้ในปริมาณที่แมวสามารถกินได้หมดภายในครึ่งชั่วโมง

Training

ฝึกขับถ่ายแมวและสัตว์ในตระกูลเดียวกันจะมีนิสัยปกปิดร่องรอยการขับถ่ายของพวกมันอยู่แล้ว เนื่องจากต้องการปกปิดร่องรอยไม่ให้ศัตรูในธรรมชาติติดตามพวกมันได้ โดยมักจะถ่ายบริเวณที่เป็นดินหรือทรายที่ร่วนซุย ขุดได้ง่าย และเมื่อขับถ่ายเสร็จ ก็จะกลบฝังอย่างมิดชิด แมวที่เลี้ยงในบ้านนั้น จำเป็นที่จะต้องได้รับการฝึกให้ขับถ่ายอย่างเป็นที่เป็นทาง เพื่อป้องกันโรคที่ออกมากับการขับถ่าย เช่น พยาธิ แบคทีเรีย เป็นต้น ซึ่งบางชนิดอาจติดต่อมาถึงคนได้


โดยปกติ ลูกแมวจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการขับถ่ายจากแม่ของมัน ด้วยการสังเกตดูวิธีการของแม่ ดังนั้นในระยะนี้ ท่านจึงควรจัดหาที่ขับถ่ายให้ เพื่อที่พวกมันจะได้ไม่ต้องไปหาที่ขับถ่ายเอง แต่หากลูกแมวของท่านขาดต้นแบบที่จะคอยสอน ท่านเจ้าของก็จำเป็นจะต้องฝึกสอนให้เอง โดยการหาสถานที่สำหรับเป็นที่ขับถ่ายของพวกมัน หากท่านเห็นเจ้าเหมียวของท่านทำท่าจะขับถ่ายออกมา ท่านต้องรีบจับตัวแมวของท่านไปนั่งที่ส้วมแมว ใช้มือจับอุ้งเท้าหน้าทั้งสองไว้แล้วทำท่าขุดลงไปที่วัสดุที่เป็นส้วมแมว ถ้าทำบ่อยๆ แมวก็จะเรียนรู้ได้ในเวลาอันสั้นหรือบางท่านอาจจะใช้วิธีนำอุจจาระของแมวมาวางไว้ในส้วมแมวเป็นการตั้งต้น หากเจ้าเหมียวได้กลิ่นแล้ว ก็จะมาใช้บริการของส้วมแมวทันที โดยเราสามารถฝึกได้ตั้งแต่เจ้าเหมียวอายุได้ 3 - 4 สัปดาห์ข้อคำนึงในการใช้ส้วมแมว- ส้วมแมวควรอยู่ในที่สงบ ปราศจากคนพลุกพล่าน มีความเป็นส่วนตัว- ไม่ควรตั้งส้วมแมวไว้ใกล้กับที่ให้อาหารและน้ำ เพื่อป้องกันโรค- ใช้วัสดุในการทำส้วมแมวอย่างเหมาะสม โดยอาจใช้ทรายสำหรับส้วมแมวที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งมีคุณสมบัติจับของเสียได้ดี และตักทิ้งได้ง่ายอีกด้วย- ปริมาณวัสดุของส้วมแมวต้องมีมากพอในระดับที่เจ้าเหมียวสามารถขุดและฝังของเสียของตัวเองได้- ควรตักสิ่งสกปรกออกบ่อยๆ เพื่อให้ส้วมแมวสะอาด น่าใช้ และไม่เป็นแหล่งก่อโรค- เมื่อแมวคุ้นเคยกับวัสดุแบบใด ก็ไม่ควรเปลี่ยนวัสดุนั้นอีก- ควรเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ทำส้วมแมวทุก 3 วัน รวมทั้งทำความสะอาดภาชนะที่ใช้ทำส้วมแมวให้ดีด้วยการล้างและฆ่าเชื้อก่อนนำมาใช้ใหม่การทำส้วมแมวการทำส้วมแมวนั้น สามารถทำได้โดยใช้ถาดพลาสติกที่มีขอบสูงประมาณ 2 - 3 นิ้ว ที่กว้างขวางพอที่แมวจะหมุนตัวเพื่อกลบของเสียของตัวเองได้ และสามารถทำความสะอาดได้ง่าย วัสดุที่ใช้ในส้วมแมวนั้น เดิมที่มักจะใช้เป็นทราย แต่ทรายมีข้อเสียตรงที่ความเปียกชื้นจะลงไปหมักหมมอยู่ที่ก้นถาด และยังไม่สามารกลบกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย ดังนั้น ในปัจจุบันจึงมีการผลิตทรายสำหรับทำส้วมแมวโดยเฉพาะออกมา ซึ่งมีคุณสมบัติดูดซับความเปียกชื้นได้ดี สามารถตักเฉพาะส่วนออกไปทิ้งได้ ดังนั้นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จะไม่รบกวนผู้คนในบ้าน และยังเป็นส้วมที่สะอาดที่เจ้าเหมียวทั้งหลายชื่นชอบ

จูงเหมียวเที่ยวหลายๆท่านคงจะคิดว่า เจ้าเหมียวที่แสนจะรักอิสระขนาดนี้ จะยอมถูกจูงเดินเหมือนกับสุนัขได้อย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม การฝึกแมวให้เดินเที่ยวไปมากับเจ้าของนั้น สามารถทำได้ แต่จะต้องใช้ระยะเวลาฝึกฝนที่ยาวนาน และจะต้องมีความอดทนมากเป็นพิเศษ และก็ใช่ว่าแมวทุกตัวจะยอมรับและปฏิบัติตามคำสั่งได้เป็นอย่างดี ชาวต่างชาติเขาได้ทำการศึกษามาแล้วว่า มีแมวเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้นที่สามารถฝึกจูงเที่ยวได เช่น Siamese หรือแมวไทยของเรานี่เอง หรือ Burmese, Russian Blue เป็นต้น แต่แมวบางตัว แม้ไม่ใช่พันธุ์แท้ก็สามารถฝึกได้เช่นกันค่ะวิธีหัดก็ควรจะหัดตั้งแต่ลูกแมวเพิ่งหย่านมใหม่ๆนั่นแหละค่ะ หรือจะหัดตอนที่โตแล้วก็ได้ แต่ให้เริ่มแต่เล็กจะดีกว่า โดยควรจะหัดให้เขามีความคุ้นเคยกับปลอกคอเสียก่อน โดยการจัดหาปลอกคอพิเศษ ที่เป็นปลอกคอแบบอาน ที่พันบริเวณขาและช่วงอก จะทำให้แมวสบายมากกว่า การใส่ปลอกคอจะต้องไม่รัดมากเกินไป สายฝึกควรเบาและสั้นไม่ควรยาวเกิน 5 ฟุต จากนั้นให้ใส่ปลอกคอพร้อมสายจูงกับลูกแมว ให้ลูกแมวลากเล่นไปมาก่อน เราอาจจะใช้อาหารเป็นตัวล่อ ให้เจ้าเหมียวมีความสนใจมากขึ้นก็ย่อมได้ การฝึกในขั้นแรก ควรเตรียมอาหารหรือของล่อใจไว้ให้แมวก่อน และสวมปลอกคอให้แมวคุ้นเคย หากแมวยอมลุกขึ้นเดินมาหาผู้ฝึก ให้ให้รางวัลแก่แมว ทำซ้ำๆจนมันคุ้นเคยกับปลอกคอ หากแมวรู้สึกชินแล้ว สามารถใส่สายจูงได้การฝึกขั้นที่สอง คือการสอนแมวเดินในสายจูง ผู้ฝึกถือสายฝึกอยู่ในมือก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พร้อมกระตุกสายจูงอย่างนุ่มนวล หากแมวยอมเดินตามให้ท่านให้รางวัลที่เตรียมไว้ หลังจากฝึกจนชินแล้ว ก็ค่อยๆลดอาหารที่เป็นรางวัลลง การจูงแมวอาจจูงให้เดินไปทางซ้ายหรือขวาของผู้ฝึกก็ได้ ในกรณีที่มีปัญหา ท่านอาจอุ้มแมวขึ้นมาด้วยมือขวา และยึดสายฝึกอยู่ที่มือซ้าย หากแมวดินรนจะหนีจากสายฝึก ให้ท่านอดทนและสุภาพ แต่หากแมวปฏิบัติได้ดี ก็ควรให้รางวัล และฝึกขั้นต่อไปขั้นที่สามคือการฝึกออกนอกบ้าน ซึ่งการฝึกแมวจะแตกต่างจากสุนัข เนื่องจากแมวจะไวกับสภาวะรอบตัวมาก ท่านจึงไม่ควรบังคับให้แมวเดินเร็วเกินไป ควรเดินช้าๆ ให้แมวรู้สึกสนุกไปด้วย หากแมวเกิดความกลัวก็อย่าพาออกนอกบ้านเลยค่ะ แต่หากท่านจะฝึกให้แมวเดินตามโดยไม่มีสายจูง ก็สามารถใช้หลักการเดียวกันได้ แต่ไม่ควรออกนอกบ้าน เพราะแมวอาจตื่นตกใจและหนีไปโดยเราจับไม่ทันได้แต่ท่านก็ต้องสังเกตด้วยนะคะ ว่าเจ้าเหมียวของท่านยอมทำตามหรือเปล่า ถ้ามีอาการขัดขืนอย่างรุนแรงแล้วล่ะก็ อย่าไปฝึกเขาเลยค่ะ แต่ถ้ามีท่าทียินยอมแล้ว ท่านก็สามารถพาเจ้าเหมียวของท่านไปเที่ยวได้ด้วยสายจูงค่ะ การเดินไปพร้อมๆกัน จะทำให้สัมพันธภาพของคนกับแมวดีขึ้นแน่นอนค่ะ


กลับไปที่หน้ารวมลิ้งค์ >>